
มาเริ่มบล็อกใหม่ด้วย การรีวิวหนังสือกันบ้าง ต่อไปนี้คงเน้นรีวิวหนังสือ รัวๆ เพราะเดือนสองเดือนนี้ จะว่างเป็นพิเศษ แล้วก็ไม่ค่อยมีไรทำ 555 จริงๆ ก็ไม่เชิงรีวิวหรอก เน้นสรุปมากกว่า เพราะคิดว่าจะเอาไปเป็นสรุปสำหรับตัวเอง และ ก็เผื่อคนอื่นที่สนใจหนังสือเล่มนี้ อยากรู้ว่าข้างไหนมันมีเนื้อหาอะไร น่าสนใจแค่ไหน จะได้ไม่พลาดกัน การเลือกอ่านหนังสือสักเล่ม ก็เหมือนเลือกคบแฟนสักคนแหละครับ ถ้าหนังสือมันแย่ แล้วเราต้องทนอ่านมันให้จบ (ตามสไตล์หนอนหนังสือ) แล้วมันคงเป็นอะไรที่รู้สึกแย่พอควรเลย
Chapter 1 : รักตัวเองให้ดี แล้วจะมีคนมารุมรัก
ว่าด้วยเรื่องของการรักตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง เพราะมันจะทำให้เราเป็นสุข มีความมั่นคงทางจิตใจ เราก็จะแผ่คลื่นความสุขออกไป และ ดึงดูดใครๆเข้ามาในชีวิตของเรา
การมีความคิดบวก เพราะจะทำให้ตัวเราส่งแต่ข้อมูลดีดีไปเก็บในจิตสำนึก แล้วเราก็จะกลายเป็นคนแบบนั้น และ ส่งผลต่อใครหลายคนที่เราปฎิสัมพันธ์ด้วย เราไม่ควร หรือ พยายามลด ความคิดที่ทำให้เรารู้สึกแย่ๆ อออกไป เช่น เธอเท่านั้นที่จะมา Fullfill ฉันได้ , เธอคือทั้งชีวิตของฉัน , เธอนั้นสำคัญที่สุด และ ไม่มีใครแทนเธอได้ นอกจากจะเป็นการปิดกั้นโอกาสในการเจอคนดีดีต่อไปแล้ว ยังเป็นการเอาตัวเราไปผูกกับคนคนนึง ซึ่งพอเราขาดเค้าไปจะทำให้เราไม่มีความสุข
เราต้องรู้จัก รักตัวเอง : เห็นคุณค่าในตัวเอง
เข้าใจตัวเอง : รู้จักตัวเอง ว่าเป็นคนแบบไหน ชอบหรือไม่ชอบอะไร ข้อดี และ ข้อเสีย
ชัดเจนกับตัวเอง : มีเป้าหมายในชีวิต ในด้านต่างๆ จะได้ไม่หยุดอยู่กับที่ หรือ ลอยเคว้งคว้าง
มั่นใจในตัวเอง : มั่นใจว่าเราดีพอ และ ก็ทำทุกอย่างด้วยความมั่นใจ อย่าไปแคร์คนอื่นมากนัก เพราะเค้าก็แค่แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่า เกือบทุกคนพูดแบบนั้น แสดงว่าเราต้องมีอะไรผิดพลาดแล้วละ ก็ทบทวนตัวเอง แล้วก็แก้ไขไป)
ให้อภัยตัวเอง และ ผู้อื่น : ใครๆต่างก็มีข้อผิดพลาดกันทั้งนั้น การมานั่งเสียใจ ฟูมฟายถึงสิ่งที่ทำพลาดไป มันไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่ควรที่จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้น ว่าอะไรที่ทำให้เราทำผิดพลาดไป ข้อผิดพลาดเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับชีวิตเรา Fail Fast, Succeed Faster
Chapter 2 : ตัวคุณเป็นแม่เหล็กมีทั้งขั้วบวกและขั้วลบ
ว่าด้วยเรื่องของกฎแห่งแรงดึงดูด ซึ่งจะแปรเปลี่ยนเป็นการกระทำ ผ่านความคิดของเราเอง
ดังนั้งจึงสืบเนื่องมาจากบทที่แล้ว ที่ให้เราคิดบวก ถ้าเราคิดดีก็จะมีแต่คนดีดีเข้ามาหาเรา
แต่ถ้าเราคิดลบ ละก็จะทำให้ดึงแต่คนแย่ๆเข้ามา หนังสือให้เหตุผลที่ดีเลย เช่นถ้าเราเป็นคนที่มีแต่ความคิดลบเนี่ย เช่น เราเคยเจอคนนอกใจ
แล้วสมมุติเราไปเจอคนใหม่ที่ดีดี แต่เราจะมีอคติ เราจะมองข้ามเรื่องดีดีที่เค้าทำ และ คอยหาการกระทำที่ตอกย้ำความเชื่อว่าเขาไม่ได้รักเราจริง หรือ เขากำลังนอกใจ
สุดท้ายความสัมพันธ์ก็แย่ลง และ ทำให้คนดีดีเดินจากคุณไปนั่นเอง
ถ้าเกิดคุณเป็นคนที่คิดแบบนั้นอยู่ละก็ เวลามีความคิดลบๆเข้ามา ให้เผชิญหน้ากับมันตรงๆ แล้วหาเหตุผลมาโต้แย้งกับความคิดแย่ๆเหล่านั้น
หรือ เอารูปที่ทำให้คุณรู้สึกดี สดชื่นมาไว้ที่โต๊ะทำงาน เวลาเครียดรู้สึกแย่ ก็มองไปที่รูปพวกนั้น ก็น่าจะเป็นอะไรที่ช่วยได้
Chapter 3 : รักดีดีอยู่ที่เป้าหมาย
เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ปล่อยให้จิตสำนึกพาเราไปเจอคนที่ใช่
แต่ก่อนอื่น ก็ต้องรู้จักการร่างแผนที่ให้กับจิตสำนึกของเราก่อน
1.รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
2.รู้ว่าลงมือทำแล้วทำอีกถึงจะ Success
3.รู้ว่าอะไรได้ผล และ ไม่ได้ผล
4.รู้จักเปลี่ยนวิธีการจนกว่าจะ Success
หลังจากวาดแผนที่ให้จิตใต้สำนึกแล้ว
- เราก็ต้องตั้งเป้าหมาย : คนที่ใช่ของเราเป็นแบบไหน list คุณสมบัติของคนที่เราต้องการมาเป็นข้อๆเลย และ ทางผู้เขียนแนะนำว่าเราไม่ควรลดมาตรฐานของเราลงมาถ้าเรายังหาไม่เจอ หรือ เจอคนที่ดีในระดับนึง แต่ก็ไม่ตรงตามคุณสมบัติที่เราตั้งไว้ เพราะเราอาจจะคิดว่าเราเปลี่ยนแปลงเค้าได้ เช่นเราไม่อยากคบคนสูบบุหรี่ เราก็คบกันไปโดยหวังว่าภายหน้าเค้าจะเลิกได้ ซึ่งมีโอกาสน้อยมาก เพราะมันติดเป็นนิสัยไปแล้ว ใครหลายคนอาจจะยอมเพราะชอบคนนี้แล้วคิดว่าเค้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ในอนาคต ซึ่งมักจะมีผลต่อปัญหาความสัมพันธ์จนนำไปสู่การเลิกรา ผู้เขียนบอกว่า เราจะเสียเวลาไปทำไมกับสิ่งที่มันไม่ใช่ เสียเวลาเป็นปี แล้วสุดท้ายก็ต้องเลิกกัน เพราะฉะนั้นเราควรจะเลือกตามคุณสมบัติที่เราตั้งเอาไว้ (แต่ในมุมมองของผมนั้น ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร ผมว่าเป็นไปได้ยากที่เราจะได้เจอคนที่ตรงตามคุณสมบัติเราทุกข้อ ผมว่าชีวิตคู่เป็นเรื่องของคนสองคน แต่ถ้าเราคิดจะมีใครเข้ามาในชีวิตเราแล้ว ชีวิตคู่นั้นอยู่ได้ด้วยการประนีประนอม คนนึงก้าว อีกคนถอยตาม ไม่จำเป็นต้องเลิกรากันก็ได้ ถ้าเค้าไม่ได้ตรงตามคุณสมบัติเราทั้งหมดนิ จริงมั้ย)
- จากนั้นก็เข้าหา :
- เราควรไปออกสังคม : ไปทำกิจกรรม เช่น เข้ายิม , ฟิตเนส หรือ กิจกรรมจิตอาสา ไม่ใช่อยู่แต่ในห้อง เพื่อจะได้พบเจอผู้คน เจอคนที่สนใจในสิ่งเดียวกัน จากนั้นก็เข้าไปทักทาย ทำความรู้จัก
- จากนั้นหลังจากนั้น เราต้องการที่จะรู้จักคนคนนั้นมากขึ้น ก็อาจจะนัดกันไปกินข้าว หรือ ตามร้านกาแฟ เพื่อที่เราจะได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับคนคนนั้น เพื่อดูว่าเค้าเข้ากับ คุณได้หรือเปล่านั่นเอง
- ตรวจสอบข้อมูลที่ได้มาว่าเป็นความจริง
Chapter 4 : รัก หรือ หลง
ว่าด้วยการมาเจอกันของคนสองคน และ ตกหลุมรักกัน ปัญหาในบทนี้จะไม่ใช่ว่าทำให้อีกฝ่ายตกหลุมรักได้ยังไง
แต่จะพูดถึง การดำเนินต่อไปของความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นมา มันควรจะเป็นแบบไหน เป็นไปอย่างไรมากกว่า
จะพาเราไปแยกแยะว่า แบบไหนที่เรียกว่าความรักซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราไปข้างหน้าได้
แต่ถ้าเป็นความหลง มันก็จะพาความสัมพันธ์ให้แย่ลงไปนั่นเอง
จากนั้นจะพาเราไปสำรวจคู่ของเรา ผ่านคำถามพิสูจน์รักแท้ ว่าที่เป็นอยู่เนี่ยมันใช่จริงๆหรือเปล่า หรือแค่สนุก แค่อารมณ์ชั่ววูบ ฯ
Chapter 5 : อดีต คือ กระจกที่สะท้อน ความสัมพันธ์ในตอนนี้
พูดถึงความสัมพันธ์ที่เรามี หรือ ปฎิบัติต่อคนอื่นนั้นเป็นผลมาจาก ความสัมพันธ์ในวัยเด็กที่เรามีต่อผู้ใหญ่
สิ่งที่ผู้ใหญ่พูด หรือ กระทำต่อเรา จะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะเป็นคนยังไงในตอนโต
ผู้เขียนได้พูดถึง เงื่อนไขต่างๆในวัยเด็กที่ทำให้เรากลายเป็น คนโดดเดี่ยว , ผู้นำ , คนที่ชอบแข่งขัน ฯ
สำหรับเรา เหมือนเป็นคู่มือสำหรับให้พ่อแม่ ดูแลลูกให้ดีดีมากกว่า ว่าควรจะ Treat ลูกยังไง ถึงจะได้โตมาเป็นคนที่ไม่มีปมในใจ และ ไม่เป็นปัญหาต่อความสัมพันธ์ของลูกคุณในอนาคต
Chapter 6 : ใครๆก็อยากอยู่ใกล้คนมีสเน่ห์
พูดถึงสเน่ห์ที่มีอยู่ในตัวแค่เราใช้ให้เหมาะสม ก็จะมีแต่คนอยากอยู่ใกล้ โดยจะแบ่งเป็น 2 ประเภท
1.สเน่ห์ทางกาย : พูดถึงเรื่องรูปร่าง หน้าตา หรือ บุคลิก เพราะใครๆก็ชอบคนสวย หล่อ หรือ ดูดีกันทั้งนั้น เราสามารถสร้างสเนห์นี้ได้ ด้วยการใส่ใจดูแลสุขภาพของร่างกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ (การปล่อยตัว หรือ ไม่ดูแลตัวเองก็เป็นการทำลายสเน่ห์ทางกายอย่างนึง)
2.สเน่ห์ทางใจ : พูดถึง ผู้ชายจะชอบผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเอง เธอสามารถควบคุมอารมณ์ ความต้องการได้
แต่โดยรวมจะเป็นเรื่องของการรู้จักคุณค่าของตัวเอง เข้าใจว่าเราเองก็มีคุณค่า รักและให้เกียรติตัวเอง ก็ถือเป็นสเน่ห์ทางใจอย่างนึง
แต่ถ้าเราแสดงการกระทำบางอย่างออกไป ก็สามารถเป็นการทำลายสเนห์ได้อย่างนึง เช่น ความรู้สึกโหยหา หรือ ความสิ้นหวัง , มองโลกในแง่ร้าย
Chapter 7 : ความรักมีภาษาเป็นของตัวเอง
จะพาเราไปรู้จัก คนแต่ละประเภท รู้จักข้อเสียของคนประเภทนั้น และ วิธีแก้ไขข้อเสีย เน้นไปที่ตัวเรามากกว่า (ก็เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้นี่ เปลี่ยนที่ตัวเราเองง่ายกว่า)
ต่อไปก็จะเป็น ภาษาแห่งรัก ที่พูดถึงการทำยังไงให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นมากกว่า
- การชื่นชม : ขอบคุณเมื่อเค้าทำอะไรให้ , ชมเค้าด้วยใจจริง
- ใช้เวลาร่วมกัน : ไม่ใช่การนั่งด้วยกัน ดู TV แต่เป็นการเอาใจใส่ รับรู้เรื่องราวของเค้า ชีวิตประจำวันของเค้า ความสัมพันธ์ของเค้ากับคนอื่น หรือ เรื่องราวอื่นๆของเค้า รับฟังด้วยใจ
- ให้ของขวัญ : ด้วยการซื้อ หรือ ทำเองก็ได้ หรือบางทีคุณอาจจะเป็นของขวัญด้วยการอยู่เคียงข้างในยามที่เค้าลำบากก็ได้
- การบริการ : เช่น ช่วยเลือกซื้อเสื้อผ้า , ทำอาหารให้ , ช่วยหาข้อมูล
- การสัมผัส : เช่น การกอด หรือ จูบ
Chapter 8 : เป็นโสดให้สุขแล้วจะไม่ทุกข์เมื่อมีคู่
บทสุดท้ายพูดถึงคนโสด ที่ต้องมีความสุขกับตนเอง สุขกับการอยู่คนเดียวให้ได้ก่อน จึงค่อยหาคนมาร่วมสุขด้วยกัน
ลองคิดดูง่ายๆก็ได้ ถ้าเราอยู่ตัวคนเดียวยังไม่มีความสุขเลย แล้วใครจะอยากมาอยู่กับคนที่ไม่มีความสุขละ จริงมั้ย ?
จากนั้นก็วิธีในการปฎิบัติตัวให้เป็นโสดอย่างมีความสุขนั้นเอง ก็มีหลากหลาย เช่น มองโลกในแง่ดี , อย่าเปรียบเทียบ และ ดูแลตนเอง
สรุป : เป็นหนังสือที่พูดถึงเรื่องของความรักแบบทั่วๆไป ไม่เน้นทฤษฎีทางจิตวิทยาจ๋า อ่านง่าย เหมือนผู้เขียนไปอ่านทฏษฎี และ การทดลอง แล้วมาสรุปให้เราได้อ่านอีกที แต่เราว่า เพราะเหมือนเอามาเขียนสรุปเอง แต่ไม่บอกว่าอ้างมาจากการทดลอง หรือ ทฤษฎีใดๆ ก็ทำให้ดูน่าเชื่อถือน้อยลง และ ที่สำคัญคือ ผู้เขียนเขียนในมุมมองของผู้หญิง ซึ่งก็จะเขียนเน้นในเรื่องของผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ เลยดูไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไรสำหรับผู้ชาย แต่หลักทั่วๆไปที่มีในหนังสือ ก็สามารถอาไปใช้ได้ทั้งชาย และ หญิงจ้า
คะแนน : 6/10